น้ำเขียว คือน้ำที่ประกอบด้วยพืชสีเขียวขนาดเล็กที่อยู่ในน้ำ จำพวกสาหร่าย แพลงก์ตอนพืช ซึ่งเป็นอาหารของแพลงก์ตอนสัตว์อีกที่ และแพลงก์ตอนสัตว์ก็เป็นอาหารลูกปลาตัวเล็ก ๆ อีกครั้ง และเมื่อปลาได้อาหารังกล่าว ปลาของเราที่ปล่อยเลี้ยงก็จะโตวันโตคืน สาเหตุที่เราปล่อยปลาเลี้ยงแล้วปลาไม่โต เนื่องจากเราปล่อยปลาเฉย ๆ ไม่เอาใจใส่ดิคว่ามันอยู่ในน้ำแล้วธรรมชาติของมันคงหากินเองได้ ไม่เหมือนเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ มันหิวมันจะร้อง แต่ปลาไม่ร้องแสดงว่ามันไม่หิว เกษตรกรเราก็คิดแต่อย่างนี้แหละปลาที่ปล่อยเลี้ยงเท่าไรก็ไม่โต พอเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม จึงค่อย ๆ ไปเยี่ยมปลาในบ่อสักครั้ง พอให้ปลารู้ว่าใกล้จะถูกจับแล้วน่ะ พอจับก็ให้เครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ ซื้อน้ำมันกันหลายเงิน โทรศัพท์เรียกเพื่อน ๆ มาร่วมวงกัน แต่พอวิดน้ำแห้งแล้ว ได้ปลาหัวโตแค่สิบกว่าตัว แล้วบ่นว่า “เลี้ยงปลาไม่คุ้ม” เลี้ยงปลาตั้งหลายเดือนปลาไม่โตเลย แถมยังผอมไม่น่ากินด้วย
ดังนั้นเราต้องหาอาหารให้ปลากินปลาจะได้โต อวบๆ น่ากิน ซึ่งอาหารที่ว่าก็คือทำน้ำเขียวนี้แหละง่ายดี
น้ำเขียวหาได้จากที่ไหน...ง่ายมากคือ ๑. จากบ่อธรรมชาติที่เลี้ยงสัตว์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นบ่อเลี้ยงหมู บ่อเลี้ยงไก่ บ่อพวกนี้ได้รับขี้ไก่ ขี้หมูเป็นประจำ จะทำให้น้ำที่รองรับเขียวปี๋เลยแหละ ๒. ขอจากสถานีประมงทั่วไป เพราะเขาจะทำไว้เลี้ยงลูกปลาของเขาประจำอยู่แล้ว
น้ำเขียวทำได้อย่างไร
๑. ใส่ปูนขาว ๖๐ – ๑๐๐ กก./ไร่ ในดินที่มีคุณสมบัติเป็นกรด
๒. ใส่มูลสัตว์ เช่น หมู ไก่ ควาย ค้างคาว ๒๐๐ – ๓๐๐ กก./ไร่/เดือน
๓. ใส่ปุ๋ยทริปเปิลซุปเปอร์ฟอสเฟต (ปุ๋ยสูตร ๐-๔๖-๐) ๓ กก./ไร่/สัปดาห์ และปุ๋ยยูเรีย (สูตร ๔๖-๐-๐) ๒ กก./ไร่/สัปดาห์
การดูแลรักษาน้ำเขียว
เมื่อน้ำในบ่อปลาของเราเขียวพอดีแล้ว (เอามือจุ่มลงในน้ำระดับข้อศอกให้มองเห็นฝ่ามือลาง ๆ เป็นใช้ได้ ถ้ามองเห็นชัดแจ๋วแสดงว่าปริมาณความเขียวน้อยต้องเติมโดยการทำอย่างที่กล่าวมา ถ้ามองไม่เห็นฝ่ามือแสดงว่าเขียวหรือุ่นมาก ควรงดทำน้ำเขียวในบ่อ หรือเปลี่ยนน้ำบ้างก็ดี เพื่อให้ความเขียวอยู่ระดับพอดีดังที่กล่าวมาแล้ว)
ประโยชน์ของน้ำเขียว
๑. เป็นอาหารของปลาโดยตรง (ปลาจะหุบเอาน้ำเข้ามากแล้วผ่ายออกทางเหงือก พวกแพลงก์ตอนก็จะถูกกรองไว้ที่คอหอยของปลา ปลาก็จะกลืนเข้าเป็นอาหารได้เลย)
๒. ช่วยผลิตออกซิเจนในน้ำ (น้ำเขียวคือพืชเล็กๆ พืชต้องสังเคราะห์แสงและจายคายออกซเจนออกมาตามธรรมชาตอยู่แล้ว และเมื่อมีพืชในน้ำก็จะมีอกซิเจนในน้ำเช่นกัน) ปลาก็อาศัยออกซิเจนหายใจเพียงพอ
๓. ช่วยกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ และสิ่งขับถ่ายของปลาในน้ำ (การสังเคราะห์แสงของพืชต้องใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในการหายใจของพืช และใช้ขี้ปลาเป็นปุ๋ยในการสร้างอาหารของพืชเล็กๆเหล่านั้น คือจะเป็นวัฏจักรของมันเองตามธรรมชาติอยู่แล้ว )
ขอเสนอแนะ
๑. ต้องปรับคุณสมบัติของน้ำด้วยปูนขาวก่อน แล้วจึงใส่ปุ๋ยทั้งหมดเข้าด้วยกัน (ปรับน้ำให้พืชอยู่ได้)
๒. ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ที่ใช้ ต้องละลายน้ำก่อนทุกครั้งก่อนสาดให้ทั่วบ่อ (อย่าหว่านเป็นเม็ด )
๓. น้ำในบ่อต้องไม่ไหลออกจากบ่อ (จะนำปุ๋ยออกด้วย)
๔. ไม่ควรให้มีพืชน้ำ เช่น บัว จอก แหน คลุมผิวน้ำ เพราะแดดจะส่องลงไม่ถึงก้นบ่อ
๕. อย่าให้น้ำเขียวเข็มเกินไป เพราะปลาจะลอยหัวตอนเช้ามืด (เนื่องจากกลางคืนพืชคายคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ถาน้ำเขียวมากแสดงว่าพืชมีมาก ก็ขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซออกมามาก น้ำก็มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาก ปลาก็ไม่มีออกซิเจนหายใจ จึงลอยหัวขึ้นมาฮุบอาการตรงบริเวณผิวน้ำซึ่งมีออกซิเจนในอากาศอยู่)
๖. น้ำสีน้ำตาลเข็ม แสดงว่าใส่ปุ๋ยคอกมากไป เกิดการเน่าสลายมาก ควรเติมน้ำเพิ่มลงไปให้เจือจาง
๗. การใส่ปุ๋ยในบ่อปลา ควรที่จะนำปุ๋ยที่ผสมเสร็จตามสูตรแล้วใส่ถุงปุ๋ยนำไปแขวนไว้ให้ละลายออกมาเองจะดีกว่า
.................................................................
หากเราเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์กลมเราควรให้อาหารปลาโดยให้มูลไก่เท่าไรกับจำนวนปลาถึงจะเหมาะสมค่ะ
รบกวนถามนิดนึงนะค่ะว่า ปุ๋ยทริปเปิลซุปเปอร์ฟอสเฟต (ปุ๋ยสูตร ๐-๔๖-๐) หาซื้อได้ที่ไหนค่ะ เว็บไหนค่ะ